วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ติวเข้มผู้ประกอบการค้างาช้างภูเก็ต รับประชุมไซเตสคอป 16


สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 ประชุมผู้ประกอบการค้างาช้าง สัตว์ป่า พืชป่า ให้ความรู้กฎหมาย และปัญหาการค้าสัตว์ป่าของไทย เพื่อเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสคอป 16 ระหว่างวันที่ 3-14 มี.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์      
       เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 ก.พ.56  ที่ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายเมธี มีชัย ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 เป็นประธานเปิดการประชุม โครงการจัดการประชุมผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่า ตามอนุสัญญาไซเตส เพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสคอป 16 ระหว่างวันที่ 3-14 มี.ค.2556 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายสุรุวุฒิ สุทธมุสิก หัวหน้าฝ่ายวิชาการและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนวิทยากร ผู้ประกอบการค้าเกี่ยวกับงาช้าง สัตว์ป่า พืชป่า องค์กรพัฒนาเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าช้าง สัตว์ป่า และพืชป่า ตามอนุสัญญาไซเตส เข้าร่วมประชุม
      
       นายสุรุวุฒิ สุทธมุสิก หัวหน้าฝ่ายวิชาการและคุ้มครองสัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่ 5 (นครศรีธรรมราช) กล่าวว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 หรือไซเตสคอป 16 ที่กำหนดให้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-14 มี.ค.2556 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้จัดทำโครงการจัดประชุมผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่าตามอนุสัญญาไซเตส เพื่อเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว ซึ่งมีบุคคลภายนอกเข้าร่วมประชุมในภาพรวม และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อนุมัติโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และสั่งการให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ทุกแห่ง ดำเนินการประชุมผู้ประกอบการฯ ในพื้นที่รับผิดชอบ
      
       เพื่อปฏิบัติตามนโยบายกรมอุทยานฯ รวมทั้งป้องกันการลักลอบค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่าตามอนุสัญญาไซเตส ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่าจึงประสานกับภาคส่วนต่างๆ จัดประชุมผู้ประกอบการ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่าตามอนุสัญญาไซเตส ควบคู่ไปกับการปราบปรามการค้าที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ประกอบการ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้มีความรู้ ความเข้าใจถึงระเบียบกฎหมายเกี่ยวกับการค้างาช้าง สัตว์ป่าฯ ตลอดจนปัญหาการค้าสัตว์ป่าของประเทศไทย เพื่อรณรงค์ และเสริมสร้างความร่วมมือในการค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่าที่ถูกกฎหมายเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสคอป 16 รวมทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์การประชุมไซเตสคอป 16 ด้วย
      
       ขณะที่นายเมธี มีชัย ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่าฯ กล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์ลักลอบค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชป่า เป็นปัญหาสำคัญที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อสารมวลชนบ่อยครั้ง ทั้งปัญหาการลักลอบนำเข้า-ส่งออกเพื่อการค้าระหว่างประเทศ เช่น งาช้าง หนังเสือ เขาสัตว์ งู ลิ่น หมี ลิง นก เป็นต้น จนประเทศไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นเส้นทางผ่านของการลักลอบขนสัตว์ป่า และพืชป่าไปยังประเทศอื่นๆ โดยสามารถจับกุมผู้กระทำผิดด้านสัตว์ป่า ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบันได้มากกว่า 3,000 คดี ตรวจยึดของกลางได้มากกว่า 50,000 ตัว รวมทั้งซากสัตว์อีกจำนวนมาก
      
       ประเทศไทยในฐานะสมาชิกประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส ได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในโลก เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติในอนาคต จึงได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสคอป 16 กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มอบนโยบายให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ทุกแห่งจัดการประชุมผู้ประกอบการฯ ควบคู่ไปกับการปราบปรามการค้าที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด และประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เสริมสร้างความร่วมมือในการค้างาช้าง สัตว์ป่า และพืชที่ถูกกฎหมาย เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสคอป 16
 
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภูเก็ตเดินหน้าส่งเสริมระบบจัดการยาเสพติดในสถานประกอบการ


สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต จัดประชุมชี้แจงโครงการส่งเสริมระบบการจัดการด้านยาเสพติดในสถานประกอบการ
          เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ก.พ.56 ที่โรงแรมเมโทรโพล ภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดประชุมชี้แจงโครงการส่งเสริมระบบการจัดการด้านยาเสพติดในสถานประกอบการ โดยมี นายชัยวัฒน์ ทิพย์ลมัย สวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต นายสุทธิพงศ์ สายคเรศ แรงงานจังหวัดภูเก็ต นายจ้าง ตัวแทนนายจ้าง และลูกจ้างจากสถานประกอบการในจังหวัดภูเก็ต กว่า 120 คนเข้าร่วม
          นายชัยวัฒน์ ทิพย์ลมัย สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาของประเทศในปัจจุบัน โดยให้ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมมือกันดำเนินการป้องกันอย่างจริงจัง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการของลูกจ้างในสถานประกอบการต่างๆ จึงได้เล็งเห็นปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานประกอบการเป็นอย่างมาก
           เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เพื่อสร้างสังคมแบบอย่างในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้กลุ่มลูกจ้าง ได้ตระหนักถึงโทษและภัยยาเสพติด เพื่อรณรงค์ส่งเสริม สร้างความตระหนัก และจิตสำนึกให้นายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ให้มีความร่วมมือในการดำเนินการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดไม่ให้มีการแพร่ระบาดในสถานประกอบการ รวมทั้งการตรวจหาสารเสพติดในลูกจ้าง การยินยอมให้นำผู้เสพเข้ารับการบำบัด และการให้โอกาสผู้ผ่านการบำบัดรักษาได้เข้ามาทำงานต่อ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการให้ขยายครอบคลุมทุกพื้นที่
          นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า สถานประกอบการทุกประเภทในจังหวัดภูเก็ตมีลูกจ้างจำนวน 121,713 คน ที่มาจากหลายเชื้อชาติ มีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้มีโอกาสพึ่งพายาเสพติดได้ จึงเป็นปัญหาที่นายจ้าง และลูกจ้างจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานของภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการอย่างต่อเนื่อง
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ ประจำวันที่ 8 ม.ค.56


ผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรีเขตตรวจราชการที่ 14 และคณะเดินทาง ตรวจติดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/2556

                นายจิรายุ นันท์ธราธร ผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรีเขตตรวจราชการที่ 14 และคณะเดินทาง ตรวจติดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/2556 วันนี้(9 มกราคม 2556)เวลา 09.30 น นายจิรายุ นันท์ธราธร ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 14 และคณะกำหนดเดินทางตรวจติดตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555 / 56 ที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีกำหนดประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือข้อราชการ ณ ห้องประชุมจอมสุรินทร์ ชั้น3 ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์
                หลังจากนั้น เดินทางไปตรวจติดตามการรับจำนำในเขตพื้นที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และ พื้นที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า จังหวัดสุรินทร์ มีโรงสีเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 จำนวน 33 โรงสี และโรงสีในจังหวัดได้เปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่จำนวน 38 แห่ง รวมจุดรับจำนำทั้งสิ้น 71 แห่ง ณ วันที่ 7 มกราคม2556 มีเกษตรกรรับใบรับรองเกษตรไปแล้ว จำนวน 133,525 ครัวเรือน องค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้ออกใบประทวนสินค้าให้แก่เกษตรกรแล้วจำนวน 101,988 ฉบับ ปริมาณข้าวเปลือกที่เข้าสู่โครงการเป็นข้าวหอมมะลิน้ำหนัก 304,697 ตัน และ ธ.ก.ส. ทำสัญญาจ่ายเงินให้เกษตรกรแล้วจำนวน 56,487 ฉบับ เป็นเงินจำนวน 4,765,807,381 บาท สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วและมีความประสงค์จะจำนำข้าวเปลือก ขอให้นำข้าวเปลือกไปจำนำที่โรงสีที่ร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เกษตรกรต้องนำข้าวเปลือกพร้อมเอกสารหลักฐานไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ณ จุดรับจำนำข้าวด้วยตนเอง ประกอบด้วย บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนา ทะเบียนบ้านพร้อมสำเนา หลักฐานการเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. (สมุดเงินกู้) พร้อมสำเนา และใบรับรองเกษตร
---------------------------------------------------------------------------------------

รองนายกรัฐมนตรีเตรียมบินลอนดอนถกทีม ก.ม.สู้คดีเขาพระวิหาร

            นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการเตรียมยกคณะทีมที่ปรึกษาของไทยที่ทำคดีเขาพระวิหารไปประสานกับที่ปรึกษาต่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ว่า จะไปพบที่ปรึกษาชุดเดิม โดยจะไปหารือถึงแนวทางการต่อสู้คดี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะมีนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายไทยต่อสู้คดีเขาพระวิหาร เดินทางไปด้วย เพื่อเตรียมแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกที่จะมีเดือนเมษายนนี้
       ทั้งนี้ การเดินทางไปหารือที่ลอนดอน จะเป็นการไปเลือกประเด็นสำคัญที่จะหยิบยกมากล่าวให้ตุลาการศาลโลกเห็นข้อเท็จจริง พร้อมกันนี้ ยืนยันว่า จะพยายามทำงานอย่างดีที่สุดด้วยข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ และจะเลือกใช้ให้เป็นประโยชน์กับไทยมากที่สุด
       อย่างไรก็ตาม การตัดสินจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตุลาการศาล พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่า ตุลาการศาลโลกจะไม่ถูกโน้มน้าวใจจากฝ่ายอื่นๆ ได้ เพราะตุลาการศาลโลกมีหลักข้อยึดถือที่แน่นอน
----------------------------------------------------------------------------------------

นายกฯ ยันนโยบายขึ้นค่าแรงได้ประโยชน์จริงทั้งผู้ประกอบการ-ผู้ใช้แรงงาน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศจะส่งผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงาน เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้จำเป็นต้องอาศัยเวลาให้ผู้ประกอบการปรับตัว ซึ่งในระยะยาวแล้วรัฐบาลตั้งใจจะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
 "ขอเรียนยืนยันว่าการขึ้นค่าแรง 300 บาทเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ส่วน ทั้งการช่วยเหลือดูแลผู้ใช้แรงงานให้เพียงพอต่อการยังชีพ และระยะยาว กำลังการบริโภคในประเทศจะดีขึ้น แต่แน่นอนว่าเราต้องดูผลกระทบของผู้ประกอบการและการปรับตัวควบคู่กันไป"นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 ด้านหลัก คือ ภาครัฐจะใช้บริการผู้ประกอบการ SMEs เพื่อช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ, มาตรการด้านภาษี เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการลดรายจ่าย และมาตรการด้านดอกเบี้ย-เงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปตรวจสอบและช่วยเหลือผู้ประกอบการในกรณีที่มีบางบริษัทเริ่มมีการเลิกจ้าง โดยยืนยันว่ารัฐบาลมีความห่วงใยผู้ประกอบการ พร้อมสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเข้าไปช่วยดูถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเลิกจ้างว่ามาจากปัจจัยใด และจะสามารถช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง
พร้อมกันนี้จะให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนกรณีที่มีบริษัทปิดกิจการ โดยขอให้ดูสถิติการจดทะเบียนเลิกกิจการว่าแต่ละปีมีจำนวนมากน้อยเพียงใด และชี้แจงให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs ในวันนี้แล้ว จะมอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ไปหารือกับผู้ประกอบการ SMEs อีกครั้งว่ายังมีมาตรการใดบ้างที่ต้องการจะให้ภาครัฐช่วยเหลือ
------------------------------------------------------------------------------------

นายกรัฐมนตรี มอบสารวันเด็กปี 2556 ย้ำต้องมีวินัย ยึดมั่นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์

                น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีสารถึงเด็กไทยเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า วันเด็กแห่งชาติได้จัดขึ้นเพื่อให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศได้ตระหนักถึงความสำคัญของตน ทั้งในเรื่องของสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย ด้วยการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนประพฤติตนเป็นคนดี เชื่อฟังบิดามารดา ผู้ปกครอง อยู่ในกฎระเบียบวินัย รู้จักการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม รู้จักการแบ่งปัน รู้รักสามัคคี รู้จักคิด รักตนเอง รักครอบครัว และรักประเทศชาติ ตลอดจน ยึดมั่นเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปี 2556 ตนขอมอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติว่า "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน"
         ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนล้วนมีอิสระทางความคิด แต่การแสดงออกต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสมและสร้างสรรค์รักษาวินัย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม และการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี โดยเฉพาะปัจจุบันสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ อย่างกว้างขวาง การแสวงหาความรู้จึงไม่มีขีดจำกัดอยู่เฉพาะภายในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองหลายทาง เช่น การอ่านหนังสือ การเดินทาง การสืบค้นข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
         น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า เด็กและเยาวชนจึงต้องรู้จักคิด เลือกรับข้อมูลที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะในปี 2558 เป็นปีที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ เด็กและเยาวชนไทยจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ การเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี และภาษาของประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน พร้อมกับการฝึกฝนทักษะด้านภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อเด็ก เยาวชน และประเทศไทยในการก้าวสู่อาเซียนได้อย่างมั่นใจ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กรมอุตุฯ เผยช่วง 10-12 ม.ค.ตอนบนประเทศอุณหภูมิจะลดลงอีก 2-4 องศา

               กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04.00 น.บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยทั่วไปกับมีหมอกในตอนเช้า ยกเว้นภาคเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็น สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลาง พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำ ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนกระจาย
                อนึ่ง ช่วงวันที่ 10-12 มกราคม 2556 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศหนาวเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส
                พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06.00 น.วันนี้ ถึง 06.00 น.วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ มีหมอกในตอนเช้า กับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ตอนบนของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-15 องศาเซลเซียส
                ตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 10-30 กม./ชม.
                ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม.
                ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
                สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม.
                ภาคตะวันออก อากาศเย็นทางตอนบนของภาคกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
                ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)  ตอนบนของภาคตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมา:อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนทางตอนล่างของภาคตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป:มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
                ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)  มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
                กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วนและมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข่าวจากทางราชการส่วนกลาง ประจำวันที่ 17 ธ.ค.55

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ และสหภาพยุโรป จัดเวทีผู้หญิง "สิทธิบทบาทในกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้" เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในประเด็นสิทธิและบทบาทสตรีในกระบวนการสันติภาพ
                ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ และสหภาพยุโรป จัดเวทีผู้หญิง "สิทธิบทบาทในกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้" เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในประเด็นสิทธิและบทบาทสตรีในกระบวนการสันติภาพศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ และสหภาพยุโรป จัดเวทีผู้หญิง "สิทธิบทบาทในกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้" ที่โรงแรมเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในประเด็นสิทธิและบทบาทสตรีในกระบวนการสันติภาพ สร้างโอกาสให้ผู้หญิงได้สื่อสารและสะท้อนถึงสถานการณ์ กระบวนการสันติภาพจากมุมมองของผู้หญิง โดยภายในงานมีการเสวนาเรื่อง "ผู้หญิง สิทธิ และบทบาทในกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้" ปาฐกถาพิเศษ "กองทุนสตรี กับการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในกระบวนการสันติภาพ" โดยนางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและการเปิดตัว "เสียงของความหวัง เรื่องเล่าของผู้หญิงเพื่อกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ " ทั้งนี้ มีผู้ร่วมงานจากตัวแทนภาครัฐบาล องค์กรประชาคม องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมประมาณ 150 คน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นาซ่าออกประกาศไม่มีวันสิ้นโลก
          องค์การอวกาศสหรัฐเอมริกาทนไม่ไหว ต้องออกแถลงการบอกกันตรง ๆ ว่า คำพยากรณ์วันสิ้นโลกในวันที่ 21 เดือนนี้ ปีนี้ ไม่มีอยู่จริง แถลงการเขียนโดยนักวิทยาศาสตร์อาวุโส ดอน เยียวแมน กล่าวว่า คำทำนายว่า วันสิ้นโลก หรือเหตุการณ์ผลิกผันในวันที่ 21 เดือนนี้ ปีนี้ เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ในรอบศตวรรษที่ผ่านไปนี้เคยมีคำทำนายที่ไม่ถูกต้องมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ท่านผู้มีวิจารณญาณควรจะสำนึกไว้ว่า คาร์ล ซากัง เคยเตือนไว้หลายปีแล้วว่า คำอวดอ้างที่แปลกประหลาด ก็ควรจะมีหลักฐานที่เลิศเลอพอกันอยู่ด้วย                แถลงการณ์ซึ่งออกทางเว็บไซต์อกองค์การ กล่าวว่า ขอรับรองว่า ไม่มีเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าหวั่นหวาดในปีหน้านี้แต่ประการใด แล้วลงท้ายว่าผู้ที่อวดอ้างว่าจะเกิดความพินาศใด ๆ ขึ้นในปีหน้านี้ก็ควรจะแสดงหลักฐานขึ้นมาให้เห็นด้วย ให้เห็นว่าหลักฐานเป็นอะไร แต่ก็ไม่เห็นมีสักอย่าง

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุ การแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นและนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้หลังปีใหม่ พร้อมยืนยันไม่ใช่แก้ไขเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
                นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในรายการฟันธง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ในหัวข้อ ถอยประชามติ รัฐบาลไม่มั่นใจใช่หรือไม่ ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คณะทำงานอาจจะปรับกระบวนการสานเสวนาที่จะให้นักวิชาการอิสระเป็นกลางเข้ามาดำเนินการ เป็นการการทำความเข้าใจเรื่องประชามติให้ประชาชนทราบ จะได้เข้าใจว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันใช้มาแล้ว 6 ปี มีข้อบกพร่องหลายอย่าง อีกทั้งยังมีที่มาจากการรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามคาดว่า คณะทำงานจะพิจารณารายละเอียดการทำประชามติอย่างรอบคอบแล้ว จะสามารถเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งช่วงหลังปีใหม่ จากนั้นจึงจะนำไปหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง และรัฐสภาอีกครั้ง
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยการประชุมคณะรัฐมนตรียังไม่มีมติการทำประชาเสวนา หรือใช้การทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ย้ำต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมหาทางออก
                นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยย้ำว่า ที่ประชุมยังไม่ได้มีมติว่า จะมีการทำประชาเสวนา หรือการทำประชามติก่อนลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 เนื่องจากมีขั้นตอนและรายละเอียดค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างการหารือ เพราะตามกระบวนการรัฐบาลคือหนึ่งในกลไกที่ประสานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องหารือร่วมกัน ในส่วนของคณะรัฐมนตรียืนยันว่า ไม่ได้ติดขัดเพราะจุดยืนของรัฐบาล ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานั้น เบื้องต้นได้มอบหมายให้ นายสุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดูแลแทนชั่วคราว
                นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ได้กำชับการทำงานอย่างบูรณาการและจัดส่งเจ้าหน้าที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นเป้าหมาย เช่น ครู และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเน้นย้ำการบริหารเวลาการจัดเส้นทางและกำลังพลให้มีความสอดคล้องกัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
 กระทรวงกลาโหม เชิญชวนประชาชนร่วมซื้อไปรษณียบัตรโครงการ สวัสดีปีใหม่ ร้อยใจไทย แด่ผู้เสียสละ เพื่อส่งมอบเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหาร-ตำรวจ ที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนทั่วประเทศ และเพื่อนำรายได้ไปจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลทหารผ่านศึก
พลโทชำนาญ สุวรรณฉวี ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า โครงการ สวัสดีปีใหม่ ร้อยใจไทย แด่ผู้เสียสละ ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแนวคิดเพื่อส่งขวัญกำลังใจจากแนวหลังไปถึงผู้เสียสละที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนทั่วประเทศ ทั้งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่พลเรือน อีกทั้งเป็นการน้อมนำแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องความเมตตาและปรารถนาดีต่อกัน เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดความพร้อมเพรียงเพื่อชาติบ้านเมือง โดยได้จัดทำไปรษณียบัตรอวยพรปีใหม่ 2556 จำนวน 5 ล้านใบ และเปิดให้ประชาชนร่วมซื้อ เขียนคำอวยพรและความปรารถนาดีไปถึงผู้เสียสละในราคาแผ่นละ 10 บาท รายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลทหารผ่านศึก และส่วนหนึ่งนำไปมอบบำรุงขวัญกำลังใจแก่ผู้เสียสละ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถร่วมซื้อไปรษณียบัตรได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์กว่า 1,200 แห่ง และร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 6,500 แห่งทั่วประเทศ โดยจะจับรางวัลมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ซึ่งจะจับรางวัลครั้งแรก วันที่ 28 ธันวาคม 2555 /ครั้งที่ 2 วันที่ 15 มกราคม 2556และครั้งที่ 3 วันทหารผ่านศึกในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2556
 //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พงศ์เทพ เด้งรับคำขวัญวันเด็ก เตรียมปรับปรุงระบบการศึกษาไทยเตรียมเข้าสู่ประตูอาเซียน
                นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงคำขวัญวันเด็กประจำปี 2556 ที่นายกรัฐมนตรีให้กับเด็กๆ มีใจความว่า รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียนว่า ทางกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการจัดระบบรองรับเรื่องนี้บางส่วนแล้ว โดยเฉพาะการนำพาไทยสู่อาเซียน เช่นการจัดหลักสูตรและโครงการต่างๆ การทำความเข้าใจว่าเมื่อมีการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว คนไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร และจะมีผลกระทบอย่างไร รวมทั้งเราจะใช้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อม ซึ่งทางสถาบันการศึกษาได้เตรียมการไว้แล้ว
                ส่วนภาษาอังกฤษที่ประเทศไทยยังด้อยอยู่นั้น นายพงศ์เทพ กล่าวยอมรับว่าไทยยังเป็นรองบ๊วยอยู่ แต่ก็พยายามปรับปรุง เพราะความจริงคนไทยเรียนภาษาแบบเน้นการอ่าน ไวยากรณ์มากไป ไม่ได้เน้นการฟัง และการพูด ซึ่งปกติต้องเริ่มจากการเรียนการพูดก่อน ซึ่งก็กำลังพยายามปรับระบบกันอยู่
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผย รัฐบาลให้ความสำคัญดูแลรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่ภาคใต้มากที่สุด

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการมอบนโยบายการจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ โรงแรม ซี เอส ปัตตานี โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่ โดยได้ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด นอกจากนี้ ยังประสานฝ่ายปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัย ส่วนเรื่องระบบขวัญกำลังใจครู ที่สมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้นำเสนอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสัปดาห์หน้า ส่วนเรื่องสินเชื่อครูขณะนี้ได้ทำข้อตกลงเบื้องต้นกับธนาคารออมสินเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงการตกลงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งจากมาตรการต่างๆเหล่านี้ เชื่อว่าจะทำให้ครูในพื้นที่เกิดความมั่นใจมากขึ้น
ด้านนายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ กล่าวว่า การที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหารเดินทางมายังพื้นที่ ทำให้ครูมีความมั่นใจมากขึ้น แต่อยากเรียกร้องเรื่องให้รักษาความปลอดภัยครูอย่างจริงจัง โดยการให้ชุมชนมีส่วนร่วม และเรื่องขวัญกำลังใจครูในพื้นที่ขอให้สมกับสิ่งที่ครูได้ทุ่มแทให้กับการศึกษา
 --------------------------------------------------------------------------------------------------------
รมว.คลัง เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หลังขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ วันที่ 1 ม.ค. 56 นี้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุปมาตรการ 6มาตรการ ในการเยียวยาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ใน 70 จังหวัด ตั้งแต่ 1มกราคม 2556 ซึ่งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน 3 ฝ่าย ในรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว และต้องหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง
ส่วนนโยบายคืนภาษีสรรพาสามิตรถยนต์คันแรกที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก เชื่อว่า จะไม่กระทบการจัดเก็บภาษีตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากอาจมีประชาชนบางส่วนขายรถยนต์ก่อนระยะเวลาการถือครองที่กำหนดไว้ 1 ปี ขณะที่ มาตรการการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ที่ในปีหน้าจะจัดเก็บเพียงร้อยละ 20 จะช่วยให้รัฐบาลขยายฐานภาษีได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีค่ายรถยนต์บางค่ายออกรถยนต์รุ่นใหม่ ให้ประชาชนสั่งจองซื้อและระบุว่าเข้าข่ายรับสิทธิ์รถยนต์คันแรก ต้องให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากเป้าหมายหลักของรัฐบาล ในการขยายเวลาให้ประชาชนจองซื้อรถยนต์คันแรก ต้องเป็นรถยนต์ที่เตรียมการผลิตเพื่อส่งมอบไว้แล้ว ส่วนรถยนต์ที่ยังไม่ได้เตรียมการผลิต แต่มีการโฆษณาให้จอง ต้องพิจารณาอีกครั้งว่า เข้าเกณฑ์การรับสิทธิ์คืนเงินหรือไม่
---------------------------------------------------------------------------------------------------
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวางแผน 8 ยุทธการเป้าหมาย ทำเมืองไทยให้เขียวสดใสถวายพ่อหลวง

นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปีตั้งแต่ปี 2535 ได้มีการกำหนดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย ตามที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นชอบ สืบเนื่องจากกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 4 ธันวาคม 2532 ที่ทรงห่วงใยทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศและทั่วโลกที่ประสบกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน ในปี 2550 ยังกำหนดให้วันที่ 4ธันวาคม เป็น “วันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ” หรือ “วัน ทสม. แห่งชาติ” ด้วย เพื่อเป็นวันสัญลักษณ์ของอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน ในการรวมพลังด้วยจิตอาสาในการสร้างคุณความดีพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมของชาติ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม
นายปรีชา กล่าวอีกว่า เนื่องในวันมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่ในกระทรวงทรัพยากรฯว่า ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดำเนินงานและการตรวจติดตามผลการดำเนินงาน ในด้านต่างๆตามแผนการฟื้นฟู การอนุรักษ์ป่า และดิน การทำฝาย อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล ให้ถือปฏิบัติงานด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
ทั้งนี้การจัดงานวันสิ่งแวดล้อมไทยในปีได้จัดภายใต้ภายใต้แนวคิด “4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมทำเมืองไทยให้เขียวสดใสถวายพ่อหลวง : เมืองสวย น้ำใส ไร้มลพิษ เพียงกินอยู่ รู้คิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ประกอบไปด้วย 8 ยุทธการ 5 เป้าหมาย ร่วมทำเมืองไทยให้เขียวสดใส นำพาให้แนวคิด เมืองสวยน้ำใส ไร้มลพิษ เพียงกิน อยู่ รู้คิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประสบผลสำเร็จ กล่าวคือ บ้านเมืองมีความสวยงาม มีสีเขียวของต้นไม้ แม่น้ำลำคลองใสสะอาด ปราศจากขยะและสิ่งปฏิกูล อากาศสดชื่น สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตด้วยวิถี แห่งความพอเพียง รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
 --------------------------------------------------------------------------------------------------
รมว.พาณิชย์ มั่นใจระบายข้าวรอบใหม่มีเงินเพียงพอ

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การคลังเพื่อกู้เงินไปดำเนินโครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่ วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี  (ครม.) ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าต้องใช้เงินเท่าไร เนื่องจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์มีปัญหาทำไม่ได้ตามแผน รวมทั้งยังมีผลพวงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้                "กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถตอบได้ว่าจะระบายข้าวและมีเงินมาใช้จำนำข้าวรอบใหม่เท่าไรและเมื่อใดหรือจะใช้หนี้กระทรวงการคลังที่กู้ไปรับจำนำรอบแรก 2.65 แสนล้านบาทครบเมื่อไรทำให้กระทบกับการจำนำรอบใหม่ที่คาดว่าจะมีถึง 26 ล้านตัน และต้องใช้เงินทั้งโครงการที่ 4.05 แสนล้านบาท"                รายงานแจ้งอีกว่า กระ ทรวงการคลังได้ทำแผนการกู้เงินให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.การคลัง พิจารณาทางเลือกด้วยว่าหากต้องกู้เงินเพิ่มจากเดิม 1.5 แสนล้านบาท จะกระทบกับสัดส่วนหนี้สาธารณะอย่างไร โดยมีแผนกู้ตั้งแต่ 2-4 แสนล้านบาท ที่สำคัญการกู้จะทำให้กระทรวงการคลังไม่สามารถค้ำประกันที่สำคัญการกู้จะทำให้กระทรวงการคลังไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจอื่นได้                ส่วนนายบุญทรง เตริยา ภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ยังมั่นใจว่าการระบายข้าวรอบใหม่จะมีเงินเข้ามาเพียงพอสำหรับใช้ในโครงการรับจำนำรอบใหม่ หากไม่พอและกู้เพิ่มไม่ได้ก็คงต้องหยุดโครงการรับจำนำไปก่อน                ขณะเดียวกัน น.ส.สุภา ปิยจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ต้องการให้รัฐบาลตั้งงบประมาณมาชำระความเสียหายที่เกิดจากการรับจำนำพืชผลทางการเกษตรตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2553จำนวน 1.7 แสนล้านบาท ภายใน 3-4 ปี ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รวมโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลนี้ในรอบแรก โดยหากรัฐบาลไม่เร่งชดเชยเงินจะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้น และทำให้รัฐบาลชดเชยความเสียหายได้ยากขึ้น